เนื่องจากผู้ที่มีเชื้อ หรือผู้เป็นพาหะไวรัสบี ส่วนใหญ่จะ ไม่แสดงอาการให้เห็น หรือบางคนก็ ไม่รู้ว่าตัวเองมี เชื้อไวรัสตับอักเสบบี ซ่อนอยู่ในร่างกาย ซึ่งส่งผลทำให้นำเชื้อ สู่ผู้อื่นได้ ดังนั้น เพื่อความไม่ประมาท ก่อนจะเข้าพิธีแต่งงาน หรือก่อนที่จะ มีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับคนรัก ควรจะให้แพทย์ ตรวจหา เชื้อไวรัสตับอักเสบบี หรือตรวจหาโรคอื่นๆ เสียก่อน
ผู้ที่มีเชื้อไวรัสบี ส่วนใหญ่จะไม่แสดงอาการ จากการศึกษาวิจัย พบว่า ผู้ป่วยที่มีเชื้อโรค ไวรัสตับอักเสบบี จะมีอาการอ่อนเพลีย รู้สึกเบื่ออาหาร หรือผู้ป่วยบางราย อาจจะมีไข้ต่ำ ๆ ในวันแรก ๆ บางครั้งอาจจะมีอาการ จุดเสียดแน่นท้อง ปวดท้อง ตาเหลือง ตัวเหลือง สังเกตดูปัสสาวะจะมีสีเหลืองเข้ม อาการนี้อาจจะเป็นอยู่ประมาณ 15 – 20 วัน หรืออาจจะเป็นเดือน จากนั้นอาการ ก็จะหายเป็นปรกติ แต่ผู้ป่วยบางรายอาจ จะมีอาการเพ้อคลั่ง มีอาการซึมเศร้า และมีน้ำในท้อง หากไม่ได้รับ การรักษาที่ถูกต้อง ทันท่วงทีก็ อาจจะเสียชีวิต ได้ในที่สุด
ระยะฟักตัวของเชื้อไวรัสบี คือประมาณ 30 – 180 วัน แต่โดยเฉลี่ยแล้ว ระยะฟักตัวของเชื้อ จะอยู่ที่ 60 – 90 วัน ทั้งนี้ผู้ป่วยที่ได้รับ เชื้อไวรัสตับอักเสบบี เก้าสิบเปอร์เซ็น สามารถกำจัดเชื้อ ออกจากร่างกายได้ และสามารถหายเป็นปกติ ได้ พร้อมกันกับการสร้างภูมิคุ้มกัน หรือสร้างภูมิต้านทาน เชื้อไวรัสบีขึ้นมา ได้ตลอดชีวิต และเราสามารถ ให้แพทย์ตรวจเลือดดูว่า ร่างกายสามารถสร้าง ภูมิต้านทานไวรัสตับอักเสบได้หรือไม่
ผลของการเป็นไวรัสตับอักเสบบี จะมีการดำเนินของโรคดังนี้
อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคไวรัสตับอักเสบบี สามารถดำเนินชีวิตได้ อย่างปรกติเหมือนคนทั่วไป และผู้ป่วยส่วนใหญ่ ก็จะสามารถหาย จากโรคได้เองตามธรรมชาติ แต่สิ่งที่สำคัญ เมื่อรู้ว่าตัวว่ามีเชื้อไวรัสบี หรือเป็นพาหะไวรัสบี จะต้องปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง รับประทานอาหาร ที่สะอาดถูกหลักอนามัย ไม่ควรอดนอน หรือดื่มสุราซึ่งจะส่งผลร้าย ต่อตับเด็ดขาด และที่สำคัญ เมื่อมีอาการผิดปกติ ต้องรีบปรึกษาแพทย์ ทันที ห้ามซื้อยา รับประทานเองเด็ดขาด
การปฏิบัติตัวเมื่อรู้ว่า ตัวเองมีเชื้อ ไวรัสตับอักเสบบี ต้องรับประทานอาหาร ให้ถูกสุขลักษณะ ไม่รับประทานอาหาร ที่มีไขมันสูง พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรซื้อยา รับประทานเอง เนื่องจากยาบางชนิด อาจจะส่งผลเสียต่อตับได้